ทนายความจังหวัดเชียงใหม่ 095 264 4454

ทนายความจังหวัดเชียงใหม่ 095 264 4454

เปิดหน้าต่อไป

รู้กฎหมาย รู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ

หัวข้อรู้กฎหมายไม่เสียเปรียบ

  • กฎหมายจราจร
  • กฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์
  • กฎหมายครอบครัว
  • กฎหมายหมิ่นประมาท
  • กฎหมายเช่าซื้อ
  • กฎหมายที่ดิน

รู้กฎหมายจราจร

กฎหมายจราจร

1. จอดรถล้ำเส้น

2. จอดรถขวาง

3. ขี่หรือขับรถย้อนศร

4. ปลอมป้ายทะเบียนรถ

5. ขี่รถปาดหน้า

6. จอดรถในที่ห้ามจอด

7. ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่

8. บรรทุกสิ่งของน่าจะทำให้เกิดอันตราย

9. ชอบแต่หรือดัดแปลงรถ

10. ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกไหนด

11. เปลี่ยนสีรถ

12. รถรับจ้างปฎิเสธไม่รับผู้โดยสาร

13. ขับรถโดยสาร ไม่จอดป้าย

จอดรถล้ำเส้น

การขับขี่รถตามสัญญาณไฟจราจร ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องและควรยึดถือปฏิบัติ แต่มีบางกรณีที่ผู้ขับขี่หยุดรถ ล้ำเส้นหยุดที่กฎหมายกำหนด ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ขับขี่ต้อง เสียค่าปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ในฐานความผิดหยุดรถล้ำเส้นหยุด ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 22, 24 และ 152

******************************

จอดรถขวาง

สภาพการจราจรที่ติดขัดในสังคมเมืองปัจจุบัน อาจส่งผลให้ ผู้ขับขี่บนท้องถนนต้องขับขี่ด้วยความรวดเร็วแข่งขันกับเวลา และ ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการจราจร บริเวณแยกใหญ่ที่ผู้ขับขี่ต่างเร่งเครื่องยนต์เพื่อให้ผ่านพ้นแยก ดังกล่าว แต่ด้วยการจราจรที่หนาแน่นส่งผลให้รถไม่สามารถ ผ่านไปได้และไปจอดขวางแยกเป็นเหตุให้การเดินรถอีกฝั่ง ไม่สามารถเดินรถได้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 55 (4) และ 148 มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท

********************************

ขับรถย้อนศร

อุบัติเหตุทางจราจรที่เกิดขึ้นสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ผู้ขับขี่ รถยนต์ - รถจักรยานยนต์ ฝ่าฝืนกฎจราจรในลักษณะขับขี่ย้อนศร โดยไม่ขับตามช่องทางจราจรที่ทางกรมการขนส่งทางบกได้กำหนด ไว้ให้ ซึ่งผู้ขับขี่ที่กระทำการดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 41 และ 148 มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท

3 กระทรวงยุติธรรม กฎหมายสามัญประจำบ้าน

**********************************

ปลอมป้ายทะเบียนรถ

พาหนะที่ใช้ขับขี่บนท้องถนนต้องเป็นพาหนะที่ได้แจ้ง จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และได้รับป้ายทะเบียนประจำพาหนะดังกล่าวอย่างถูกต้องจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น แต่มีผู้ขับขี่บางรายที่ทำการปลอมแปลงป้ายทะเบียนรถที่ลักขโมยมา เพื่อลักลอบส่งขาย หรือ เจตนาปลอมแปลงป้ายทะเบียนขึ้น แทนการแจ้งจดทะเบียนอย่างถูกต้องนั้น ถือว่าบุคคลนั้นได้ทำผิด ต่อพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 11 ที่ กำหนดไว้ว่ารถที่จดทะเบียนแล้วต้องมีและแสดงแผ่นป้ายและ เครื่องหมายครบถ้วนถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ตามมาตรา 60

***********************************

ขับขี่รถปาดหน้า

เรื่องการขับรถถือเป็นเรื่องมารยาททางสังคม บางท่านอาจเคยมี ประสบการณ์ถูกผู้ขับขี่รถยนต์คันอื่นขับรถปาดหน้า แซงในระยะกระชั้นชิด หรือแซงในพื้นที่เส้นทึบ ดังนั้น การใช้รถใช้ถนนจึงควร พึงระมัดระวังไม่ให้กระทำผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 46 ที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อ ขึ้นหน้ารถอื่นในกรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้ (2) ภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟ (3) เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ ในระยะหกสิบเมตร (4) เมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่สี่ร้อยบาทถึงหนึ่งพันบาท ตามมาตรา 157

***********************************

จอดรถในที่ห้ามจอด

ปัจจุบันปริมาณรถยนต์มีอัตราเพิ่มขึ้นสวนทางกับ เส้นทางการเดิ นรถ และปริ มาณที่ จอดรถที่ มี อยู่เท่าเดิม ส่งผลให้ ผู้ขับขี่รถยนต์บางรายจำเป็นต้องจอดรถในพื้นที่ห้ามจอด เช่น บนทางเท้า บริเวณทางข้าม บริเวณที่มีเครื่องหมายห้ามจอดรถ ฯลฯ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 57 ประกอบมาตรา 148

*************************************

ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญ ประการหนึ่งเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะ ผู้ขับขี่ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถซึ่งส่งผลให้สมาธิในการ ขับขี่ลดลง จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 43 จึงกำหนดให้ผู้ที่ ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ยานพาหนะ มีโทษปรับตั้งแต่สี่ร้อยบาท ถึงหนึ่งพันบาท

**************************************

บรรทุกสิ่งของก่อให้เกิดอันตราย

ผู้ขับขี่รถบรรทุกสำหรับบรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของทุกชนิด จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ในการป้องกันมิให้ คน สัตว์ หรือสิ่งของที่ บรรทุกตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ อันอาจก่อเหตุเดือดร้อน รำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน หรือก่อให้ เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน หากผู้ขับขี่คนใดละเลย ข้อกำหนดดังกล่าวมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 20 ประกอบมาตรา 148

**************************************

ชอบแต่งรถดัดแปลงรถ

รถยนต์แต่งซิ่งโดยส่วนใหญ่นิยมปรับแต่งท่อไอเสียรถยนต์ ให้มีเสียงดังเกินมาตรฐาน และอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดนำรถที่เกิดเสียงอื้ออึง หรือมีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถมาใช้ในทางเดินรถ หากฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามมาตรา 148

***************************************

ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

เทคโนโลยีที่ทันสมัยส่งผลให้การบริการหรือการตรวจจับ การกระทำผิดกฎหมายสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจจับความเร็ว และบันทึกภาพผู้ขับขี่ที่กระทำผิดวินัยจราจร ดังนั้น หากพบหลักฐาน ว่าผู้ขับขี่รายใดขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กำหนดใน กฎกระทรวงหรือเกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในเครื่องหมายจราจร มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 67

****************************************

เปลี่ยนสีรถ

โรงงานผลิตรถยนต์โดยส่วนใหญ่ จะผลิตรถยนต์ตามสีมาตรฐาน หรือสียอดนิยมตามความต้องการของท้องตลาด เช่น สีขาว สีดำสีบรอนซ์เงิน เป็นต้น แต่ในกรณีที่ผู้ครอบครองรถไม่พึงพอใจในสีรถเดิมตามมาตรฐานโรงงาน สามารถนำรถยนต์ของตนไปเปลี่ยนสีใหม่ตามความต้องการได้ แต่ต้องไม่ลืมดำเนินการแจ้งการเปลี่ยนแปลงสีรถยนต์ต่อนายทะเบียนภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง หากเกินกำหนด หรือไม่ดำเนินการให้เรียบร้อย มีโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 13 ประกอบ มาตรา 60

***************************************

รถรับจ้างปฎิเสธรับผู้โดยสาร

หลายๆ ท่าน อาจเคยได้รับทราบข่าวการปฏิเสธรับผู้โดยสาร หรือปล่อยผู้โดยสารกลางทางของรถยนต์รับจ้างสาธารณะจากหน้าหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ ฯลฯ หรืออาจเคยได้รับประสบการณ์โดยตรงถูกรถยนต์รับจ้างสาธารณะปฏิเสธรับ - ส่งผู้โดยสาร ซึ่งการกระทำดังกล่าวของผู้ขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะถือเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 57 ประกอบ มาตรา 60 มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท เว้นแต่การบรรทุกนั้นน่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ขับขี่ หรือแก่ผู้โดยสาร จึงสามารถปฏิเสธไม่ให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารได้

****************************************

ขับรถประจำทาง ไม่จอดป้ายโดยสาร

ประชาชนส่วนใหญ่นิยมใช้บริการโดยสารรถประจำทางสาธารณะ เนื่องจากมีความสะดวก และประหยัดค่าเดินทาง อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหากรณีที่รถโดยสารประจำทางไม่จอดป้ายรับ - ส่งผู้โดยสารบริเวณป้ายหยุดรถประจำทางที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ อาจมีสาเหตุมาจากพนักงานขับรถมักขับรถเลนขวาสุด หรือใช้ความเร็วสูง ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 105 ประกอบมาตรา 127 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มีปัญหาปรึกษาทนายความ 02 114 7521 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่ www.สู้คดี.com

*******************************************

รู้กฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์

กฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์

1. รถยนต์หายในห้างสรรพสินค้า

2. รถยนต์หายในโรงแรม

3. รถยนต์ถูกชนใครจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนั้น

4. ซื้อรถราคาถูกต้องระวัง

5. ซื้อรถมือ 2 มือ 3 มือ 4 ต้องอย่างไร

6. รถหายต้องแจ้งความ

7. รถหายต้องผ่อนต่อหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************************

1. รถยนต์หายในห้างสรรพสินค้าใครรับผิดชอบ

ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง รถจะชนกัน เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่สำหรับกรณีที่รถชนกันแล้วเราเป็นฝ่ายถูกนั้น และในระหว่างที่รถเราซ่อมหากเราเช่ารถมาขับหรือนั่งแท็กซี่ เราสามารถเรียกร้องให้ฝ่ายผิดรับผิดชอบค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ที่ต้องจ่ายเงินได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1874/2526 ซึ่งตัดสินว่า ค่าเช่ารถ ซึ่งโจทก์ต้องเช่ามาใช้ระหว่างซ่อมรถ ถือได้ว่าเป็นความเสียหายของโจทก์จากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถ ซึ่งจำเลยที่เป็นผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย และผู้รับประกันภัยรถของจำเลย จึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าเสื่อมราคาและค่าเช่ารถให้แก่โจทก์

     ดังนั้น หากรถถูกชน และเราเป็นฝ่ายถูกสามารถเรียกค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ระหว่างรถเราซ่อมจากบริษัทประกันได้

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

2. รถยนต์หายในโรงแรมใครรับผิดชอบ

โรงแรมเป็นสถานที่ให้บริการที่พัก สถานที่จัดเลี้ยง รวมถึงบริการสปา นวดแผนโบราณ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งผู้ใช้บริการอาจไม่ใช่ผู้เข้าพักในโรงแรม แต่ไปใช้บริการธุรกิจส่วนต่างๆ ซึ่งอยู่ภายในโรงแรม แต่เกิดกรณีรถที่จอดไว้ภายในโรงแรมเกิดหายขึ้นมาจะทำเช่นไร จากกรณีดังกล่าวประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 กำหนดว่า เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา และในคำพิพากษาฎีกาที่ 6918/2558 ตัดสินขยายความว่า แม้โรงแรมของจำเลยจะมีการให้บริการในส่วนของการนวดแผนโบราณ โดยสถานที่นวดอยู่ภายในอาคารของโรงแรมก็ตาม แต่ลักษณะของการเข้ามาใช้บริการดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นเพื่อต้องการพักผ่อนเท่านั้น ซึ่งการใช้บริการไม่จำต้องลงทะเบียนขอเปิดห้องพักเหมือนอย่างกรณีการเข้าพักอาศัย จึงไม่ใช่คนเดินทางหรือแขกอาศัยตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 เมื่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้สูญหายไป จำเลยในฐานะเจ้าสำนักโรงแรม จึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อความสูญหาย

     ดังนั้น หากมาใช้บริการส่วนต่างๆ ของโรงแรมแต่ไม่ใช่ผู้เข้าพักของโรงแรมแล้วรถเกิดหายขึ้นมา โรงแรมไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินดังกล่าว

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

***************************************

3. รถยนต์ถูกชนใครจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนั้น

ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง รถจะชนกัน เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่สำหรับกรณีที่รถชนกันแล้วเราเป็นฝ่ายถูกนั้น และในระหว่างที่รถเราซ่อมหากเราเช่ารถมาขับหรือนั่งแท็กซี่ เราสามารถเรียกร้องให้ฝ่ายผิดรับผิดชอบค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ที่ต้องจ่ายเงินได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1874/2526 ซึ่งตัดสินว่า ค่าเช่ารถ ซึ่งโจทก์ต้องเช่ามาใช้ระหว่างซ่อมรถ ถือได้ว่าเป็นความเสียหายของโจทก์จากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถ ซึ่งจำเลยที่เป็นผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย และผู้รับประกันภัยรถของจำเลย จึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าเสื่อมราคาและค่าเช่ารถให้แก่โจทก์

     ดังนั้น หากรถถูกชน และเราเป็นฝ่ายถูกสามารถเรียกค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ระหว่างรถเราซ่อมจากบริษัทประกันได้

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************

4. ซื้อรถมาในราคาถูกต้องระวัง

การซื้อของดีราคาถูกพอมีให้เห็นบ้าง แต่หากเป็นเรื่องของการซื้อรถราคาถูกมาก เช่น รถราคาเป็นล้าน แต่ขายเพียงแสนเดียวแบบนี้น่าสงสัยว่าเป็นรถที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยปกติการผ่อนรถกับไฟแนนซ์กรรมสิทธิ์รถย่อมเป็นของไฟแนนซ์ ดังนั้น ผู้เช่าซื้ออย่าเข้าใจผิดว่าจะทำอะไรก็ได้ และเมื่อยังผ่อนไม่หมดจะเอารถไปขายหรือไปจำนำไม่ได้ เพราะเมื่อไฟแนนซ์ติดตามรถแล้วไม่ได้คืน ผู้เช่าซื้อที่เอารถไปขายหรือจำนำจะมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ส่วนคนรับจำนำจะมีความผิดฐานรับของโจร

     ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ที่ระบุว่า ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้น เข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************

5. ซื้อรถมือสอง ต้องทำอย่างไร

ขั้นตอนการซื้อรถมือสอง

ก่อนจะซื้อรถมือสองสักคัน ขั้นตอนใช่ว่าแค่เลือกคันชอบก็จ่ายเงินแล้วก็จบ ต้องรู้วิธีซื้อรถมือสอง Chobrord แนะนำขั้นตอนการซื้อรถมือสอง จด จำ นำไปใช้ ได้รถถูกใจแน่นอน

ใครต้องการที่จะเป็นเจ้าของรถมือสองสักคัน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ต้องทำอะไรก่อน-หลัง และเทคนิคหรือ Tips แต่ละขั้นตอนมีอะไรบ้าง Chobrod ขออาสาพาไปดู 9 ขั้นตอนซื้อรถมือสองที่จะช่วยให้การซื้อรถมือสองเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ มาดูกันว่ามีวิธีการซื้อรถมือสองอย่างไร ให้ได้รถถูกใจคุณที่สุด

1.ตั้งงบประมาณ

ปัจจัยสำคัญในการซื้อรถสักคันไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งหรือมือสอง เรื่องงบประมาณคือตัวกำหนดผลว่ารถที่คุณได้มาจะเป็นรถประเภทใด ยี่ห้ออะไร ควรตั้งงบประมาณไว้อย่างเคร่งครัดตามกำลังจ่ายของคุณ อย่าใจอ่อนกับสิ่งยั่วเย้าจากรถรุ่นต่าง ๆ มากมายที่จะคอยมารบกวนสมาธิในการซื้อรถของคุณให้ตรงตามงบ จนอาจทำให้งบประมาณบานปลายเกินไปจากที่ตั้งไว้ตอนแรก คำนวณค่าใช้จ่ายซื้อรถให้ดี

โดยเฉพาะกรณีที่ต้องกู้ไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถ ถ้าเผลอใจไปซื้อรถที่เกินงบประมาณ ความสุขที่หวังจะได้รับกับรถมือสองคันใหม่ของคุณ อาจหายไปแทนด้วยความปวดหัวกับการต้องจ่ายค่างวดแพง ๆ และดอกเบี้ยจำนวนมากที่คุณไม่ควรจะเสีย อย่าลืมว่าการซื้อรถมือสองยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ตามมาหลังจากซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ ดังนั้นคิดเผื่อเรื่องนี้ให้ดี เพราะนี่คือวิธีซื้อรถมือสองแต่คุณจำเป็นต้องทำให้ได้

2.ค้นหารถมือสองที่ถูกใจ

chobrod.com มีรถมือสองมากมายหลายประเภท หลายยี่ห้อให้เลือก เมื่อผ่านขั้นตอนแรกกับการตั้งงบประมาณของคุณมาได้แล้ว ต่อมาก็เลือกหารถมือสองตามกรอบราคาที่คุณกำหนดเอาไว้ รถมือสองนับพันคันภายในเว็บฯ จะถูกเรียงรายชื่อออกมาตามเงื่อนไขงบประมาณและความต้องการของประเภทรถหรือยี่ห้อของคุณได้ และเมื่อคลิกเข้าไปดูรายละเอียดในรถแต่ละคัน ระบบยังมีตัวจัดการเพื่อช่วยคำนวณค่าใช้จ่าย ค่างวดในแต่ละงวดให้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการค้นหารถมือสองจากผู้ขายในเว็บไซต์ซื้อขายรถยนต์มือสองต่าง ๆ คือเรื่องราคารถที่ดูเหมือนจะถูกเกินไปจนผิดปกติ รถทุกรุ่นมีค่าเสื่อมราคา และราคากลางในแต่ละปีของทุกรุ่นโดยเฉลี่ย ถ้าเกิดคุณไปเจอรถที่ผู้ขายลงราคาไว้ถูกกว่าคันอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันมาก ต้องตรวจสภาพรถคันนั้นเป็นพิเศษก่อนซื้อคือสิ่งที่คุณละเลยไม่ได้ คุณอาจสันนิษฐานที่มาของตัวเลขราคารถที่ถูกเกินไปได้หลายๆ เหตุผล เช่น ถ้าในแง่ดีคือผู้ขายอาจต้องการรีบใช้เงิน แต่ถ้าในแง่ร้ายที่ราคาถูกอาจเป็นเพราะตัวรถเคยชนหนักมาจนซ่อมใช้งานได้ไม่เหมือนปกติ ผู้ขายอยากขายทิ้งให้มันจบๆ หรือรุนแรงไปกว่านั้นคือเป็นรถที่ขโมยมาก็เป็นได้

3.ติดต่อผู้ขาย

ก่อนที่จะติดต่อผู้ขายนั้น คุณจะต้องจดรายการคำถามต่างๆ เบื้องต้นเกี่ยวกับรถคันที่คุณสนใจก่อน ข้อมูลรายละเอียดบางอย่างของตัวรถอาจไม่ได้ถูกระบุไว้ตั้งแต่ในเว็บฯ ตัวอย่างคำถามอาทิ เป็นรถมือที่เท่าไร?, ทำไมถึงขาย?, รถเคยชนหนักมาหรือเปล่า?, มี Book Service ตัวรถมีปัญหาในการใช้งานตรงไหนที่ต้องแก้ไขหรือไม่เมื่อซื้อไป? เป็นต้น เมื่อคำถามพร้อม คนซื้อพร้อมก็ติดต่อกับผู้ขายได้ และสอบถามรายละเอียดต่างๆ ที่คุณต้องการทราบเกี่ยวกับรถคันนั้นได้เลย

คุณต้องไม่ลืมการสังเกตลักษณะการตอบและคำตอบจากผู้ขายในเรื่องความมั่นใจในการให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวรถ ถ้าคำตอบมาประเภทแบบ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ไม่มี” แบบนี้แนะนำว่าถ้าคุณมีตัวเลือกรถคันอื่นอยู่ด้วยควรหันไปเลือกดูรถคันอื่นๆ แทนก่อนดีกว่า

4. ตรวจสอบผู้ขาย

ถ้าผู้ขายเป็นเพียงผู้ขายรถทั่วไป ไม่ใช่เต็นท์ รู้ไว้ก่อนเลยว่าสิ่งที่คุณจะไม่ได้รับคือบริการหลังการขาย เพราะผู้ขายประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกขายแล้วขายเลย ไม่มีการมาช่วยให้คำตอบหรือช่วยแก้ปัญหารับผิดชอบใดๆ เมื่อตัวรถมีปัญหา ถ้าคุณรับได้กับเรื่องสภาพตัวรถและราคาการซื้อรถจากผู้ขายรถประเภทนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียว

5. ตรวจสอบประวัติรถ

ไม่ว่าจะเป็นผู้ขายรถประเภทใดก็ตาม เรื่องที่มาที่ไปของรถผู้ขายต้องแสดงให้ชัดเจน เล่มทะเบียนตัวจริงต้องมี ชื่อเจ้าของในเล่มทะเบียนต้องตรงกับชื่อของผู้ขายหรือถ้าไม่ตรงต้องมีเอกสารการโอนลอยแสดงด้วย เพื่อเป็นข้อยืนยันว่าไม่ใช่รถที่ถูกขโมยมา หรือรถยังค้างชำระอยู่กับไฟแนนซ์

เลขตัวถังรถ คือข้อมูลบอกประวัติที่มาของรถได้

นอกจากนี้ ส่วนของประวัติตัวรถสามารถดูได้จากเลข VIN หรือเลขตัวถังรถ ซึ่งก็คล้ายกับรหัสบัตรประชาชนของคน ข้อมูลจากเลข VIN จะบอกถึงที่มาของรถตั้งแต่ออกจากโรงงานว่าเป็นรถรุ่นอะไร สีอะไร เครื่องยนต์อะไร เมื่อเทียบกับตอนที่คุณไปดูรถแล้วเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนก็แสดงว่าเจ้าของรถเดิมน่าจะต้องไปทำการดัดแปลงอะไรเกี่ยวกับตัวรถคันดังกล่าวมาพอสมควร เลี่ยงการซื้อขายรถคันนั้นไปจะดีที่สุด

ดูเพิ่มเติม

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

****************************************************

กฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์ (ต่อ)

6. รถหายต้องแจ้งความ

การซื้อรถต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินไม่พอก็ต้องใช้วิธีการเช่าซื้อรถกับไฟแนนซ์ เมื่อได้รถแล้วก็ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อกันเป็นงวดๆ แต่สำหรับผู้เช่าซื้อบางรายโชคไม่ดี รถที่เช่าซื้อหายหรือถูกยักยอกไป แต่เมื่อไปแจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่หลายๆ ท่านแจ้งว่า ต้องได้ใบมอบอำนาจมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถึงจะ แจ้งความได้

     จากกรณีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ระบุว่า “ผู้เสียหาย” หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8980/2555 ตัดสินว่า แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิ

ครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ

     และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกและหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

     ดังนั้น หากรถหาย แต่เราเป็นเพียงผู้เช่าซื้อยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็สามารถแจ้งหายได้

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************

7. รถหายต้องผ่อนต่อหรือไม่

การซื้อรถต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินไม่พอก็ต้องใช้วิธีการเช่าซื้อรถกับไฟแนนซ์ เมื่อได้รถแล้วก็ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อกันเป็นงวดๆ แต่สำหรับผู้เช่าซื้อบางรายโชคไม่ดี รถที่เช่าซื้อหายหรือถูกยักยอกไป แต่เมื่อไปแจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่หลายๆ ท่านแจ้งว่า ต้องได้ใบมอบอำนาจมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถึงจะ แจ้งความได้

     จากกรณีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ระบุว่า “ผู้เสียหาย” หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8980/2555 ตัดสินว่า แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิ

ครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ

     และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกและหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

     ดังนั้น หากรถหาย แต่เราเป็นเพียงผู้เช่าซื้อยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็สามารถแจ้งหายได้

ปรึกษาทนายความในจังหวัดของคุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายความในจังหวัดของคุณได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายใกล้คุณ.com

***************************************


รู้กฎหมายครอบครัว

กฎหมายครอบครัว

1. อยากมีคู่ต้องดูอายุด้วย

2. การหมั้นคืออะไร

3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่

4. สินสอด

5. เงื่อนไขการสมรส

6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องทำอย่างไร

7. การจดทะเบียนสมรสซ้อนมีผลอย่างไร

8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา

9. สินสมรสคืออะไร

10. การแบ่งสินสมรส

11. สินส่วนตัวคืออะไร

12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง

13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนกัน

14. การรับบุตรบุญธรรม

15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม

16. สิทธิของบุตรบุญธรรม

17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย

18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน

19. ความผิดฐานทิ้งลูก

20. ความผิดฐานแท้งลูก

21. ความรุนแรงในครอบครัว

22. สามีภริยาทำร้ายร่างกายกัน

23. ความผิดต่อชีวิต

24. นาง-นางสาว เลือกได้มั้ย

25. โทษทางอาญา ระหว่างสามี-ภรรยา เกี่ยวกับทรัพย์

26. นกเขาไม่ขันฟ้องหย่าได้หรือไม่

1. อยากมีคู่ต้องดูที่อายุด้วย (1 of 26)

หนุ่มสาวหรือวัยรุ่นมักใจร้อนอยากจดทะเบียนสมรสกันเร็วๆ แต่ในทางกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่า ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงจะทำการสมรสกันได้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรก็ขอให้ศาลสั่งให้สามารถสมรสกันได้ ตัวอย่างเช่น นายเอกับนางสาวบี ทั้งคู่อายุ 15 ปี ทั้งสองรักกันมากและต้องการจดทะเบียนสมรสกันแต่ไม่สามารถทำได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาต ในทางกลับกัน สมมุติว่านายเอกับนางสาวบีเกิดได้เสียกันและนางสาวบีได้ตั้งท้อง บิดาและมารดาของทั้งสองฝ่ายจึงต้องไปร้องขออนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

2. การหมั้นคืออะไร (2 of 26)

การหมั้น ในความเข้าใจของประชาชนทั่วไป หมายถึง การจองตัวไว้ก่อนที่จะมีการแต่งงานกัน หรือสมรสกันตามกฎหมาย แต่กฎหมายบัญญัติให้การหมั้นจะมีผลตามกฎหมายได้ การหมั้นนั้นจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปี บริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น หากการหมั้นฝ่าฝืนโดยที่ชายหญิงที่หมั้นกันมีอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี การหมั้นนั้นตกเป็นโมฆะ และการหมั้นนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองด้วย ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ หรือผู้มีอำนาจปกครองขณะนั้น ส่วนของหมั้นจะต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้หญิงคู่หมั้นขณะที่ทำการหมั้นด้วย โดยฝ่ายชายเป็นผู้ส่งมอบของหมั้นเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น หากส่งมอบให้ภายหลังการหมั้นไม่ถือว่าเป็นของหมั้น ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 มาตรา 1436 และมาตรา 1437 และเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นของหญิงทันที

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่ (3 of 26)

กรณีเมื่อมีการหมั้นแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้ทำการสมรสด้วยไม่ได้ เพราะเหตุว่า การสมรสนั้นต้องเป็นการยินยอมที่จะอยู่กินฉันท์สามีภรรยากันด้วยความเต็มใจ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1438 ที่บัญญัติว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ แต่อย่างใดก็ดี ฝ่ายที่ผิดสัญญาไม่ทำการสมรส อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน รวมทั้งหากฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

4. สินสอด (4 of 26)

สินสอด หมายถึง ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 ดังนั้น สินสอดเป็นทรัพย์สิน เช่น เงิน ทองคำ หรืออาจเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองหรืออาจเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมของฝ่ายหญิง เป็นการตอบแทนที่ให้หญิงนั้นยอมสมรสกับตนเอง แต่เมื่อทำการหมั้นแล้ว หากฝ่ายหญิงไม่ทำการสมรสกับฝ่ายชายโดยผิดสัญญาหรือมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์บางอย่างที่ฝ่ายหญิงต้องรับผิด ทำให้ฝ่ายชายไม่ควรสมรสกับฝ่ายหญิง ฝ่ายชายสามารถเรียกสินสอดคืนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสอง และวรรคสามบัญญัติเอาไว้

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

5. เงื่อนไขการสมรส (5 of 26)

การสมรส กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้หลายประการ เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 บัญญัติไว้ว่า การสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงนั้นมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสได้ ดังนั้น การสมรสจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ดี หากมีเหตุที่จำเป็นอันสมควร ดังเช่น ชายและหญิงมีความสัมพันธ์กันก่อนมีอายุสิบเจ็ดปี หากหญิงเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา กรณีนี้อาจร้องต่อศาลขอทำการสมรสได้ ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามกฎหมาย

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายทำอย่างไร (6 of 26)

การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายก็คือ การที่ทั้งชายและหญิงต้องไปจดทะเบียนสมรสกันกับนายทะเบียนและต้องไปเปิดเผยต่อนายทะเบียนด้วยว่าตนยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากัน โดยที่นายทะเบียนต้องบันทึกการยินยอมไว้ด้วยหรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า จดทะเบียนสมรส เมื่อกระทำครบถ้วนข้างต้นจึงจะถือว่า การจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าหากมีการจัดงานแต่งงานเลี้ยงแขกอย่างยิ่งใหญ่แต่ไม่ไปจดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาตามกฎหมายและไม่เกิดสิทธิใดๆ ต่อกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 และมาตรา 1458 (ติดตามโพตส์ต่อไป เรื่องการจดทะเบียนสมรสซ้อน)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

7. การจดทะเบียนสมรสซ้อน (7 of 26)

การสมรสซ้อนเป็นกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่ไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอีกคนหนึ่งทั้งที่ตนเองมีคู่สมรสอยู่แล้ว ถือว่าการสมรสครั้งหลังนี้ตกเป็นโมฆะ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 บัญญัติไว้ว่า ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ และมาตรา 1495 บัญญัติว่า การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 ตกเป็นโมฆะ อย่างไรก็ดี การที่จะกระทำให้การสมรสครั้งหลังเป็นโมฆะโดยสมบูรณ์เพราะเหตุจดทะเบียนซ้อนนี้กฎหมายระบุให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือมีส่วนได้เสีย เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ที่คู่สมรสของตนไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอื่น ซึ่งได้รับความเสียหายโดยตรงกล่าวขึ้นอ้างต่อศาลและร้องต่อศาลว่าการสมรสเป็นโมฆะ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา (8 of 26)

ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470 ได้บัญญัติไว้ว่า ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อชายและหญิงสมรสกัน ซึ่งถือเสมือนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันในการดำรงชีวิต แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายอาจมีทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนมาก่อนที่จะสมรสกัน กฎหมายจึงได้แบ่งแยกทรัพย์สินของสามีภรรยาออกเป็นสองประการ คือ สินส่วนตัวและสินสมรส โดยที่สินส่วนตัวนั้นเป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะดูแลจัดการด้วยตนเอง ส่วนสินสมรสนั้นทั้งสองฝ่ายต้องดูแลและจัดการร่วมกัน

ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา ไม่ว่าเกิดจากฝ่ายสามีกระทำกับภรรยา หรือเกิดจากฝ่ายภรรยากระทำกับสามี เช่น การขโมยเงิน และของมีค่า หรือฉ้อโกงหลอกลวงเงิน แม้กฎหมายถือว่าเป็นความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะกฎหมายมองว่าเป็นเหตุส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 ตัวอย่างเช่น สามีขโมยสร้อยคอทองคำซึ่งเป็นสินส่วนตัวของภรรยาไปขาย แม้สามีจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กฎหมายก็มีเหตุยกเว้นโทษ เนื่องจากเป็นเหตุ ส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ เนื่องจากต้องการคุ้มครองความผาสุกของสามีภรรยาในระบบครอบครัวอันเป็นสถาบันพื้นฐานของสังคม แม้กฎหมายจะไม่เอาผิด แต่เรื่องในลักษณะนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นย่อมจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

9. สินสมรสคืออะไร (9 of 26)

คำว่าสินสมรส ก็คือทรัพย์สินที่สามีภรรยามีส่วนร่วมกันในทรัพย์สินนั้น การจัดการทรัพย์สินก็ต้องจัดการร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 บัญญัติไว้ว่า สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน 1. ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส 2. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส 3. ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว และมาตรา 1474 วรรคสอง ยังบัญญัติต่อไปอีกว่า กรณีที่สงสัยว่าทรัพย์สินเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ดังนั้น ทรัพย์สินที่จะเป็นสินสมรส ต้องไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีมาก่อนสมรสนั้นเอง คือได้มาระหว่างสมรสอีกประการหนึ่ง กรณีหากฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินส่วนตัว ต่อมามีดอกผลที่เกิดจากการใช้ทรัพย์เหล่านั้น เช่น ฝ่ายหญิงเลี้ยงสุนัขก่อนสมรส ต่อมาฝ่ายหญิงได้ทำการสมรสและสุนัขที่ได้เลี้ยงไว้นั้น ได้ให้กำเนิดลูกสุนัข ส่งผลให้ลูกสุนัขที่เกิดมาเป็นดอกผลที่เกิดขึ้นจากสินส่วนตัว แต่เนื่องจากเกิดขึ้นภายหลังการสมรส ดังนั้น ลูกสุนัขจึงกลายเป็นสินสมรสด้วย อีกกรณีหนึ่งที่เป็นสินสมรสก็คือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทรัพย์สินมาโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุไว้ให้เป็นสินสมรส กรณีทั้งสามประการจึงเป็นสินสมรส ซึ่งสามีและภรรยาจะต้องจัดการดูแลร่วมกันหรือต้องได้รับยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งจึงจะจัดการโดยลำพังได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 วรรคแรก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 ได้แบ่งประเภทของสินสมรสไว้ 3 ประเภท ดังนี้ (1) ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส (2) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส และ (3) ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

ชีวิตคู่เป็นเรื่องของบุคคล 2 คน ที่ต้องแบ่งปันและใช้ชีวิตร่วมกัน แต่หากวันใดไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปก็สามารถตกลงแยกทางกันได้ และสามารถแบ่งหรือโอนทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสให้แก่กันได้ รวมทั้งหากมีหนี้สินร่วมกันก็ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1489

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

10. การแบ่งสินสมรส (10 of 26)

เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 บัญญัติให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงเท่าๆ กัน และมาตรา 1535 ได้บัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดของหญิงชายภายหลังการสมรสสิ้นสุดลงไว้ว่า ให้แบ่งความรับผิดในหนี้ตามส่วนเท่ากันตามบทบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ว่าเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงให้ชายและหญิงที่หย่ากันแบ่งสินสมรสกันคนละครึ่งในส่วนที่เท่ากัน ส่วนความรับผิดเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างเป็นสามีภรรยากันนั้นก็ต้องรับผิดในส่วนเท่าๆ กันเช่นกัน ยกเว้นหนี้ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างขึ้นเป็นหนี้ส่วนตัวโดยแท้ไม่เกี่ยวกับสินสมรส ทั้งนี้ฝ่ายที่ก่อหนี้ต้องรับผิดเองเป็นการส่วนตัว (โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่องสินส่วนตัว)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

11. สินส่วนตัวคืออะไร (11 of 26)

คำว่า สินส่วนตัว ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 ได้กำหนด สินส่วนตัวไว้ดังนี้ 1. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส 2. เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายตามฐานะเครื่องมือประกอบวิชาชีพ 3. ทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา 4. ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น อย่างไรก็ดีหากสินส่วนตัว มีการนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายหรือซื้อได้มา ซึ่งทรัพย์สินอื่นที่ได้มาแทนนั้น ก็ยังเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นเช่นเดิม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง (12 of 26)

เมื่อคู่สมรสที่เคยรักกันต้องสิ้นสุดความสัมพันธ์กันแล้ว นอกจากสินสมรสที่ต้องแบ่งให้เท่าๆ กันแล้ว ในส่วนของหนี้สินที่เกิดมาร่วมกันระหว่างสมรสก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบไปในส่วนเท่าๆ กันด้วย ตัวอย่างเช่น นายสมโชคได้จดทะเบียนหย่าร้างกับนางสมพร โดยทั้งคู่มีเงินสดอยู่ 500,000 บาทที่เป็นสินสมรส ขณะเดียวกันนายสมโชคก็มีหนี้อยู่ 100,000 บาทที่เกิดจากไปกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นค่าใช่จ่ายในการเรียนของลูก ต่อมาเมื่อทั้งคู่หย่าร้างกันจะต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 250,000 บาท ขณะเดียวกันนางสมพรจะต้องช่วยรับผิดชอบหนี้จำนวนดังกล่าวที่นายสมโชคก่อขึ้นระหว่างสมรสจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ 50,000 บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 มาตรา 1535

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส (13 of 26)

การที่ชายและหญิงอยู่กินฉันท์สามีกรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรเกิดขึ้นมา บุตรนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติหลักกฎหมายไว้ว่า เด็กที่เกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นการที่หญิงและชายอยู่กินฉันท์สามีภรรยา เมื่อมีบุตรขึ้นมากฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น แต่อย่างไรก็ดี เด็กที่เกิดขึ้นมานั้นจะเป็นบุตรโดยชอบของชายได้ก็ต่อเมื่อ ชายและหญิงนั้นสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาจดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร และในกรณีหลังนี้กฎหมายให้มีผลแก่บุตรย้อนไปถึงวันที่บุตรเกิด โดยถือว่าชายนั้นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรนับแต่วันที่เด็กเกิด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และมาตรา 1557

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

14. การรับบุตรบุญธรรม (14 of 26)

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/19 และมาตรา 1598/20 ได้วางกฎเกณฑ์ตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรมไว้ว่า บุคคลที่ต้องการรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี และต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อยสิบห้าปี และหากบุตรบุญธรรมอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี ผู้นั้นต้องให้ความยินยอมด้วย นอกจากนี้ หากผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์และมีพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่ ต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลเหล่านั้นด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/21 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้รับบุตรบุญธรรมมีคู่สมรส ต้องให้คู่สมรสยินยอมในการรับบุตรบุญธรรมด้วย ตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/25 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม (15 of 26)

กรณีรับบุตรบุญธรรมนั้น ทำให้ผู้ที่รับบุตรบุญธรรมมีสิทธิเป็นผู้ปกครองแทนบิดามารดาหรือผู้ปกครองเดิมนับแต่รับบุตรบุญธรรม โดยทำหน้าที่อบรมสั่งสอน อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลบุตรบุญธรรมเสมือนบุตรที่แท้จริงของตน ตามหน้าที่ เช่นบิดา มารดาทั่วไปพึงกระทำ แต่การเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมไม่ทำให้เกิดสิทธิในการรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/29

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

16. สิทธิขอบบุตรบุญธรรม (16 of 26)

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 ได้กำหนดให้สิทธิผู้ที่เป็นบุตรบุญธรรม ไว้ว่า บุตรบุญธรรมจะมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมกล่าวคือ มีสิทธิเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดเสมือนทายาทชั้นบุตรของผู้รับบุตรบุญธรรมทุกประการแต่ก็ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิดมาแต่เดิม เช่น มีสิทธิในการรับมรดกตกทอดจากบิดามารดาทายาทเดิม เพียงแต่อำนาจในการปกครองตกอยู่ในอำนาจของผู้รับบุตรบุญธรรม บิดามารดาหมดอำนาจปกครองนับแต่เด็กตกเป็นบุตรบุญธรรมของผู้รับบุตรบุญธรรม

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย (17 of 26)

การที่จะเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น จะต้องนำไปจดทะเบียนและต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/21 สำหรับกรณีของผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุตรคนอื่นอยู่ จะไปขอเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกไม่ได้ ยกเว้นจะเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมของตนซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน (18 of 26)

ชื่อสกุลหลักการหย่า

กฎหมายไทยในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยา หรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของใครของมันก่อนจดทะเบียนสมรสก็ได้ อย่างไรก็ดี หากการสมรสดังกล่าวมิได้ราบรื่นอีกต่อไป ต้องจบลงด้วยการเลิกราไม่ว่าจะเป็นเพราะจดทะเบียนหย่าโดยความสมัครใจของทั้งคู่ หย่าตามคำพิพากษาให้เพิกถอนการสมรส เช่น การสมรสโมฆะ เพราะการสมรสซ้อน เหล่านี้ หากคู่สมรสดังกล่าวเคยตกลงที่จะใช้นามสกุลของฝ่ายใดร่วมกันแล้ว เมื่อหย่าร้างหรือศาลเพิกถอนการสมรส ข้อตกลงใช้นามสกุลร่วมกันก็เป็นอันสิ้นสุด และแต่ละฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนจดทะเบียนสมรส

ชื่อสกุลหลังคู่สมรสเสียชีวิต

กฎหมายไทยในปัจจุบันเปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยาหรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของตนต่อไปก็ได้ อย่างไรก็ดีหากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสดังกล่าวสิ้นสุดลงตัวอย่างเช่น นายสมชาย หอมจับจิตสมรสกับนางสาวสมหญิง หอมสุดใจทั้งคู่ตกลงร่วมกันใช้นามสกุลของสามีสมหญิงจึงเปลี่ยนนามสกุลเป็น หอมจับจิต ตามนามสกุลของสมชาย ต่อมาสมชายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ สมหญิงมีสองทางเลือกคือ จะใช้นามสกุลหอมจับจิตของอดีตสามีต่อไปก็ได้ และใช้ได้ตลอดไปตราบเท่าที่สมหญิงไม่ได้สมรสใหม่ หรือสมหญิงอาจจะเลือกเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนการสมรสก็ได้

ชื่อสกุลของหญิงทีสามี

แต่ก่อนแต่ไรมา พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 กำหนดบังคับไว้ว่า หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น จะใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรสไม่ได้ หรือแม้จะใช้นามสกุลอื่นให้ผิดแผกแตกต่างไปจากนามสกุลที่สามีใช้อยู่ก็ไม่ได้ ทางออก ณ ขณะนั้นก็คือ หญิงมีสามีทั้งหลายเลี่ยงไปใช้นามสกุลเดิมของตนในฐานะที่เป็นชื่อรอง อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า บทบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อสตรี เพราะจัดให้มีสถานะทางกฎหมายที่ด้อยกว่าสามี เป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างหญิงกับชาย ขัดต่อหลักความเสมอภาค จึงเป็นอันใช้บังคับมิได้ และนับแต่นั้นมา ผู้หญิงก็มีทางเลือกมากขึ้น

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตราที่กำหนดบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดหลักความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงคำวินิจฉัยดังกล่าวก็นำมาสู่การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายชื่อบุคคลกันอีกครั้งเมื่อปี 2548 เปลี่ยนแปลงให้สิทธิแก่ทั้งหญิงและชายได้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้นดังนี้ไม่ว่าชายหรือหญิงเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้นามสกุลใด อย่างไร ให้เป็นไปตามที่ทั้งคู่เลือกและตกลง ซึ่งก็มีอยู่ 3 ทางเลือก ทางแรก ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรส ไม่เปลี่ยนแปลง ทางที่สอง เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามีหรือไม่ก็ทางเลือกที่สามคือคู่สมรสทั้งสองฝ่ายเลือกใช้นามสกุลของภรรยา

กฎหมายชื่อบุคคลของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งในกฎหมายที่ก้าวหน้า เพราะว่าให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีเท่าเทียมบุรุษ ในการเลือกใช้นามสกุลภายหลังการสมรส แตกต่างจากเดิมที่บังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น แต่กฎหมายปัจจุบัน ให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ว่า จะใช้นามสกุลของฝ่ายใด หรือแม้แต่ ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนเองก็ได้ การตกลงของคู่สมรสเพื่อเลือกใช้นามสกุลเช่นนี้ จะตกลงตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อครั้งจดทะเบียนสมรส หรือตกลงกันในภายหลัง และก็อาจเปลี่ยนใจเปลี่ยนข้อตกลงเดิมเมื่อใดก็ได้ เช่น ตอนจดทะเบียนสมรส ทั้งคู่เลือกใช้นามสกุลของสามี แต่ต่อมา ทั้งคู่เปลี่ยนใจเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของภรรยา หรืออาจจะตกลงกันใหม่ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของใครของมันก็ได้

ชื่อสกุลของเด็กในการอุปการะ

เด็กบางคนเกิดมาอาภัพ บ้างทั้งพ่อและแม่ต่างเสียชีวิตทั้งคู่ ไม่มีญาติอุปการะเลี้ยงดู บ้างก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง รัฐจึงมีหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมนำเด็กเหล่านั้นไปอุปการะ ให้การศึกษา ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บางครั้งเด็กเหล่านี้ไม่มีแม้แต่นามสกุล จะสืบเสาะหาญาติพี่น้อง ก็ไม่พบใคร ด้วยเหตุนี้พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 จึงเปิดช่องให้ผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กเจ้าของสถานพยาบาล สถานสงเคราะห์ หรือสถานอุปการะเลี้ยงดูเด็ก สามารถจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลของเด็กที่อยู่ในความอุปการะหรือความดูแลดังกล่าวได้ ในการนี้ อาจตั้งไว้หลายนามสกุลก็ได้และเมื่อใดก็ตาม มีเด็กสัญชาติไทยซึ่งไม่มีนามสกุลเข้ามาอยู่ในความดูแลของสถานที่แห่งนั้น ก็สามารถเลือกกำหนดชื่อสกุลให้แก่เด็กคนนั้นได้

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

19. ความผิดฐานแท้งลูก (19 of 26)

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น นำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์และผลเสียต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย สิ่งหนึ่งมาจากการรู้เท่าไม่การณ์หรือเพราะความประมาท รวมถึงการขาดการเอาใจใส่จากครอบครัวและการขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา สาเหตุเหล่านี้เป็นปัญหาต้นๆ ที่ต้องรีบแก้ไขและให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน นักศึกษา ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการทำแท้ง เพราะหากหญิงใดทำให้ตนแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้ตนแท้งลูกถือว่าหญิงนั้นหรือผู้กระทำนั้นได้กระทำผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการรับปรึกษาการตั้งครรภ์ ที่ได้จดขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บางครั้งหลายๆ สถานบริการ ยังเป็นสถานที่ให้บริการรับทำแท้งลูกให้กับหญิงสาวที่ยังไม่พร้อมมีบุตรหรือพลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์กับคนรักแล้วไม่ได้ป้องกันทำให้เกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งกลุ่มหญิงเหล่านี้มักจะหาสถานบริการหรือผู้ให้บริการเถื่อนทำแท้งลูกให้ ซึ่งถือว่าการทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอมผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302 ฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การทำแท้งถือเป็นความผิดตามกฎหมายไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำแท้งมีมาตลอดทุกยุค ทุกสมัย ซึ่งมีสาเหตุทางสังคมหลายประการ อาทิ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ยังไม่ได้สมรส อยู่ในวัยเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังไม่รวมไปถึงการกระทำอันมีผลให้ผู้อื่นแท้งลูกโดยไม่ยินยอม ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 303 วรรค 1 ในฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

****************************************


รู้กฎหมายครอบครัว (ต่อ)

20. ความผิดฐานทอดทิ้งลูก (20 of 26)

บ่อยครั้งที่มีการนำเสนอข่าวเด็กถูกทอดทิ้งตามสถานที่ต่างๆโดยปราศจากผู้ปกครองดูแลอันเนื่องมาจากปัญหาครอบครัวแตกแยก การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ครอบครัวมีฐานะยากจน หรือพ่อ แม่หย่าร้างกัน ซึ่งพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูกตัวเอง นอกจากจะไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบทางศีลธรรมแล้ว ยังถือเป็นความผิดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และอื่นๆ ส่งผลให้บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวลดน้อยลง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงจนบางครอบครัวละเลยขาดการเหลียวแลเอาใจใส่ต่อคนใกล้ชิดหรือบุพการี และมีหลายกรณีที่ทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในยามเจ็บmป่วย ชรา เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา ว่าด้วยผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความเจ็บป่วยกายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสีย โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 307 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

***************************************

21. ความรุนแรงในครอบครัว (21 of 26)

การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลในครอบครัว รวมทั้งทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันรณรงค์และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว โดยกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวแม้จะอยู่ในสถานะเป็นสามี ภรรยากันก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มาตรา 4

บางครอบครัวที่มีการทำร้ายร่างกายกันอย่างรุนแรงตามที่นำเสนอทางสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ จนถึงขั้นฟ้องศาลให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เบื้องต้นตามความสมควร หรือร้องขอให้มีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ต่อผู้ถูกกระทำในครอบครัว โดยห้ามผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเข้าไปในที่พำนักของครอบครัวหรือเข้าใกล้ตัวบุคคลใดในครอบครัว หากผู้กระทำความรุนแรงฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวของเจ้าพนักงาน ถือเป็นความผิดตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

***************************************

22. สามีภริยาทำร้ายร่างการกัน (22 of 26)

การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

……………………………………….

23. ความผิดต่อชีวิต (23 of 26)

การทะเลาะวิวาท การมีปากเสียงถึงขั้นตบตี หรือชกต่อยกันด้วยโมหะ โทสะที่ปรากฏในกลุ่มวัยรุ่นหรือครอบครัวทำให้สร้างความเดือดร้อนถึงขั้นบาดเจ็บ หรือส่งผลให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ถือว่าบุคคลนั้นได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ว่าด้วยผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

***************************************

24. นาง-นางสาว เลือกได้หรือไม่ (24 of 26) ในโลกยุคปัจจุบันที่หญิงและชายเท่าเทียมกัน ดังนั้น คำนำหน้าชื่อย่อมเป็นไปด้วยความสมัครใจ เช่น ฝ่ายหญิงเมื่อแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้าว่านางสาวหรือนางก็ได้ ส่วนหญิงที่หย่าร้าง หากเดิมใช้คำนำหน้าว่า “นาง” ก็สามารถกลับมาใช้ “นางสาว” ได้เช่นกัน ส่วนชายไทย ไม่ว่าแต่งหรือไม่แต่ง หรือหย่าร้าง ก็ยังคงใช้คำนำหน้าว่า “นาย” เท่านั้น

ซึ่งเป็นตามพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 มาตรา 4 ที่กำหนดให้หญิงที่อายุ 15 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้สมรส ให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว”

มาตรา 5 หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

มาตรา 6 หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว ต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจโดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

25. สามีภรรยา ลักทรัพย์กันผิดมั้ย (25 of 26) ปัญหาสามีขโมยเงินภรรยา ถือเป็นเรื่องปกติของบางครอบครัว แต่ทราบหรือไม่ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 บัญญัติความผิดฐานลักทรัพย์ไว้ว่า ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท

แต่ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภรรยาหรือภรรยากระทำต่อสามี ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ

จากข้อกฎหมายตามที่กล่าวมาข้างต้น ความผิดที่ได้รับการยกเว้นโทษ ตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง นั้น ต้องเป็นลักษณะ ดังนี้ 1) ต้องเป็นสามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน 2) ทรัพย์ที่ถูกขโมยต้องเป็นทรัพย์ระหว่างสามีหรือภรรยาเท่านั้น ไม่มีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3) การยกเว้นโทษต้องเป็นกรณีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เฉพาะที่ไม่มีการข่มขู่หรือใช้กำลังประทุษร้ายและต้องไม่เกิดอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย

สรุปง่ายๆ คือ สามี ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกงทรัพย์ระหว่างกันเองมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายดังที่กล่าวไปข้างต้น

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

**************************************

26. นกเขาไม่ขัน ฟ้องหย่าได้มั้ย (26 of 26) สภาพสังคมในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายๆ ท่าน มีภาวะเครียด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ชายอันจะนำไปสู่การมีสุขภาพย่ำแย่ ทั้งสุขภาพกายใจ และอาจลามไปถึงปัญหาครอบครัว เพราะหากคุณผู้ชายหย่อนสมรรถภาพอาจนำไปสู่การหย่าร้างได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1516 (10) บัญญัติไว้ว่า สามีหรือภรรยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภรรยานั้น ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ดังนั้น จึงควรดูแลสุขภาพเพื่อพลานามัยที่สมบูรณ์

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************

รู้กฎหมายหมิ่นประมาท

กฎหมายหมิ่นประมาท

  1. องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท
  2. ความผิดฐานหมิ่นประมาท
  3. การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง
  4. กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
  5. ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้
  6. ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลัง
  7. ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มัน

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
***************************************

1. องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท

มนุษย์ เป็นสัตว์สังคมที่มีการติดต่อสื่อสารระหว่าง แต่บางครั้งการสื่อสารนั้นอาจเป็นการกล่าวถึงบุคคล ที่สาม หรือที่เรียกว่า ‘นินทา’ แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมการนินทาผู้อื่นอาจจะทำให้ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 บัญญัติว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ องค์ประกอบหมิ่นประมาทผู้อื่นต้องมี 3 ส่วนครบถ้วน ดังนี้ 1) ใส่ความผู้อื่น 2) ต่อบุคคลที่สาม และ 3) การใส่ความนั้นน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง จึงจะมีความผิดฐาน หมิ่นประมาท

***************************************

2. ความผิดฐานหมิ่นประมาท

มนุษย์ในสังคมย่อมมีข้อขัดแย้งโต้เถียงกันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนหมู่มากแต่หากมีบุคคลหนึ่งใส่ความ หรือกล่าวให้ร้ายผู้อื่นต่อบุคคลที่สามในทางที่เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง กฎหมายได้บัญญัติให้บุคคลที่จงใจกระทำผิดต้องรับโทษทางอาญา ฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
  ***************************************
  

3. การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง

การหมิ่นประมาท โดยการใส่ความหรือให้ร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียง และส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ การกระทำที่จะต้องรับผิดฐานหมิ่นประมาทในทางแพ่งจะต้องเป็นการใส่ความในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เพราะหากเป็นความจริงไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้นอกจากนี้การรับผิดทางแพ่งนั้นไม่จำเป็นต้องมีเจตนาใส่ร้ายหรือใส่ความคนอื่นแม้เป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อก็ต้องรับผิดเช่นกัน
  ***************************************
  

4. กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นหมิ่นประมาท

นอกจากการไปทำกิริยาที่ไม่เหมาะสม เช่น ด่าทอ หรือเหยียดหยาม ผู้ตายซึ่งผู้กระทำก็ต้องรับโทษไปแล้ว หากมีการกระทำที่มากกว่านั้น จนถึงขั้นเป็นการใส่ความผู้ตาย ต่อบุคคลที่สาม ซึ่งการใส่ความนั้น น่าจะเป็นเหตุให้บิดามารดาคู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น กล่าวหาว่าผู้ตายเสียชีวิต เพราะโรคเอดส์ และยังกล่าวหาว่าภรรยาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ติดเอดส์ด้วย การกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้ ส่งผลให้ ภรรยาและคนในครอบครัวถูกสังคม รังเกียจ จึงสามารถใช้สิทธิฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  ***************************************
  

5. ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้

แม้ว่าบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วจะไม่มีสิทธิลุกขึ้นตอบโต้กับใครได้ แต่ก็ยังได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายในกรณีที่มีผู้ไม่พอใจไปทำกิริยาหรือพูดจา ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ในลักษณะด่าทอหรือเหยียดหยามผู้เสียชีวิตด้วยเหตุผลส่วนตัว เช่น ไม่พอใจเรื่องแบ่งมรดกจึงไปยืนด่าศพที่ตั้งสวดอยู่บนศาลาภายในวัด

การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558 ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 366/4 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท
  ***************************************
  

6. ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลัง

ในโลก Social Media (โซเชี่ยลมีเดีย) มักมีการส่งต่อ ที่เรียกว่า Share (แชร์) โดยเฉพาะภาพตัดต่อบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง ดาราชื่อดัง หรือแม้กระทั่งคนธรรมดาที่เรารู้จักมาส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูกัน ทั้งใน Facebook (เฟซบุ๊ค) ในไลน์ หรือช่องทางอินเตอร์เน็ท อันถือเป็นความสนุกสนานของ ชาวโลกออนไลน์ ความสนุกแบบนี้อาจกลายเป็นโทษได้ ถ้าเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ส่งผล ให้บุคคลที่เรานำภาพและเรื่องเขามาแชร์ เกิดความเสียหาย อันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 16 ต้องรับโทษปรับไม่เกิน 60,000 และจำคุกไม่เกิน 3 ปี

***************************************

7. ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มัน

การเม้าท์ กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมถือว่า เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับ วงสนทนาไปเสียแล้ว อันที่จริงการเม้าท์ที่ว่านี้สามารถทำได้ แม้จะไม่สมควร แต่เรื่องราวที่หยิบมาเม้าท์กันนั้น ก็ต้องมีข้อจำกัด แม้จะเป็นเรื่องพูดแค่ให้เกิด ความสนุก แต่ถ้าเรื่องนั้นได้รับการขยายออกไป จนกลายเป็นความเชื่อของผู้คน ในวงกว้าง อันจะนำไปสู่ความแตกตื่น เสียหาย ในภายหลัง แม้ผู้พูดอาจจะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นแก่ความสนุกสนาน แต่ก็ถือว่ามีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 384 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************


รู้กฎหมายเช่าซื้อ

กฎหมายเช่าซื้อ

1. รถหายต้องแจ้งความ

2. รถหายต้องผ่อนต่อหรือไม่

1. การซื้อรถต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินไม่พอก็ต้องใช้วิธีการเช่าซื้อรถกับไฟแนนซ์ เมื่อได้รถแล้วก็ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อกันเป็นงวดๆ แต่สำหรับผู้เช่าซื้อบางรายโชคไม่ดี รถที่เช่าซื้อหายหรือถูกยักยอกไป แต่เมื่อไปแจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่หลายๆ ท่านแจ้งว่า ต้องได้ใบมอบอำนาจมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถึงจะ แจ้งความได้

จากกรณีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ระบุว่า “ผู้เสียหาย” หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8980/2555 ตัดสินว่า แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิ

ครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ

และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกและหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ดังนั้น หากรถหาย แต่เราเป็นเพียงผู้เช่าซื้อยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็สามารถแจ้งหายได้

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************

2. การซื้อรถต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินไม่พอก็ต้องใช้วิธีการเช่าซื้อรถกับไฟแนนซ์ เมื่อได้รถแล้วก็ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อกันเป็นงวดๆ แต่สำหรับผู้เช่าซื้อบางรายโชคไม่ดี รถที่เช่าซื้อหายหรือถูกยักยอกไป แต่เมื่อไปแจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่หลายๆ ท่านแจ้งว่า ต้องได้ใบมอบอำนาจมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถึงจะ แจ้งความได้

จากกรณีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ระบุว่า “ผู้เสียหาย” หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8980/2555 ตัดสินว่า แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิ

ครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ

และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกและหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ดังนั้น หากรถหาย แต่เราเป็นเพียงผู้เช่าซื้อยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็สามารถแจ้งหายได้

อยู่ต่างจังหวัด ปรึกษาทนายความในจังหวัดของคุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายความในจังหวัดของคุณได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายใกล้คุณ.com

***************************************


รู้กฎหมายที่ดิน

กฎหมายเรื่องที่ดิน

◦ 1. มีที่ดิน ไม่ดูแล เจ้าของแท้ก็หมดสิทธิ

◦ 2. วิธีแก้ปัญหา ซื้อที่ดินตาบอด

◦ 3. กรรมสิทธิ์คืออะไร

◦ 4. การครอบครอบปรปักษ์ที่ดิน

◦ 5. ที่ดินตาบอด

◦ 6. สิทธิของการซื้อทรัพย์โดนสุจริตในท้องตลาด

◦ 7. การสร้างที่อยู่อาศัยที่ที่ดินของคนอื่นโดยไม่สุจริต

◦ 8. บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดิน

◦ 9. ความหมายของคำว่า ทรัพย์หรือทรัพย์สิน

◦ 10. สีของพญาครุฑ บอกอะไร

◦ 11. เจ้าหนี้เงินกู้ยึดโฉนดไว้ เอาคืนได้มั้ย

◦ 12. ซื้อที่ดิน สปก.

◦ 13. ขายฝากอย่างไรไม่เสียเปรียบ

◦ 14. หมุดเขตเดินได้

◦ 15. จำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ

***************************

1. มีที่ดิน ไม่ดูแล เจ้าของแท้ก็หมดสิทธิ

เจ้าของที่ดินจำนวนมากอาจไม่รู้ว่ามีที่ดินอยู่ตรงไหนบ้าง หรือไม่ดูแล และปล่อยทิ้งร้างมานาน หากภายหลังปรากฏว่ามีคนเข้ามาครอบครอง อย่างสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันนานถึง 10 ปี โดยที่เจ้าของที่ดินเดิม ไม่เคยเข้ามาป้องกันหรือขัดขวาง ที่ดินดังกล่าวก็จะตกเป็นของบุคคลอื่นที่เข้ามา ครอบครอง หรือตามที่รู้จักกันว่าการครอบครองแบบปรปักษ์ เป็นไปตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

เพราะฉะนั้นมีที่ดินต้องดูแล ไม่เช่นนั้นถึงเป็นเจ้าของที่ดินแท้ๆ ก็หมดสิทธิ โดยไม่รู้ตัวได้

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************

2. วิธีแก้ปัญหา ซื้อที่ดินตาบอด

หลายคนอาจจะประสบปัญหาว่าที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ ถูกล้อมด้วยที่ดินแปลงอื่นอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้หรือมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ไม่สะดวก เช่น จะต้องข้ามบึง แม่น้ำ ทะเล หรือที่ลาดชัน โดยระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก

หากเจอกับกรณีนี้ เจ้าของที่ดินตาบอด สามารถขอสิทธิเปิดทางจำเป็น ผ่านที่ดินแปลงอื่นซึ่ งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ และอาจต้องใช้ค่าทดแทน แก่เจ้าของที่ดินที่ผ่านด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************

3. กรรมสิทธิ์คืออะไร

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ได้ให้สิทธิแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ซึ่งมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนเองในการจำหน่ายได้รับดอกผล ติดตามเอาคืนทรัพย์สินนั้นจากบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิจะยึดถือเอาไว้รวมทั้งขัดขวางมิให้ผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามเจ้าของทรัพย์สินนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเช่นเดียวกัน เพราะการเป็นเจ้ากรรมสิทธิ์นั้น ในบางกรณีก็ต้องตกอยู่ในข้อจำกัดสิทธ์ของกฎหมาย และในบางกรณีก็ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นในการใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินของตนด้วย

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

*****************************

4. การครอบครอบปรปักษ์ที่ดิน

ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี สำหรับสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปี บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์โดยปกติมักเข้าใจว่าการครอบครองปรปักษ์มีได้เฉพาะที่ดินเท่านั้น แต่ในความจริงการครอบครองปรปักษ์นั้น มีได้ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ แต่ต่างกันเฉพาะระยะเวลาการครอบครอง เหตุที่กฎหมายบัญญัติเช่นนี้ ก็เพราะกฎหมายมีความประสงค์ที่จะให้เจ้าของทรัพย์ เช่น ผู้มีที่ดิน มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาทำประโยชน์เกี่ยวกับทรัพย์ของตน มิใช่ปล่อยปะละเลยไม่ดูแลทำประโยชน์ หากมีผู้อื่นเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผยและแสดงความเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาตามที่กฎหมายกำหนดบุคคลที่ครอบครองนั้น ก็จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นซึ่งเป็นการได้มาโดยผลแห่งกฎหมาย ดังนั้นผู้ที่มีทรัพย์จะต้องหมั่นดูแลทรัพย์สินของตน รวมทั้งทำประโยชน์ตามสมควรด้วยมิฉะนั้นท่านอาจเสียสิทธิ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***********************

5. ที่ดินตาบอด

ที่ดินตาบอด เป็นภาษาที่นิยมพูดกัน กล่าวคือ เป็นที่ดินของบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถูกล้อมรอบด้วยที่ดินแปลงอื่นของเจ้าของอื่นจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งกฎหมายได้ให้สิทธิ์ผู้ที่มีที่ดินที่ถูกล้อมรอบนั้น มีสิทธิ์ผ่านที่ดินที่ถูกล้อมรอบออกสู่ทางสาธารณะได้ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 อย่างไรก็ตามการใช้ทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น กฎหมายก็ให้เจ้าของที่ดินที่ใช้ทางนั้น จะต้องทำให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมรอบนั้นให้น้อยที่สุด และใช้ได้เท่าที่จำเป็น หากบางกรณีเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมรอบเมื่อใช้ทางแล้ว อาจจะต้องจ่ายค่าทดแทนเพื่อความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมรอบด้วยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกัน

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************

6. สิทธิของการซื้อทรัพย์โดนสุจริตในท้องตลาด

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ได้ให้การคุ้มครองบุคคลที่ซื้อทรัพย์สินมาจากการขายทอดตลาด หรือซื้อทรัพย์สินจากท้องตลาดจากพ่อค้าที่ขายทรัพย์สินนั้นโดยสุจริต อาทิ ซื้อรถจากแหล่งขายรถที่ประกอบกิจการเป็นประจำโดยถูกต้องตามกฎหมาย เป็นต้น ในกรณีนี้ผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไม่ต้องคืนทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง ยกเว้นบุคคลที่เป็นเจ้าของนั้นจะยอมชดใช้ราคาที่ซื้อมา

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

************************

7. การสร้างที่อยู่อาศัยที่ที่ดินของคนอื่นโดยไม่สุจริต

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยไม่สุจริต บุคคลนั้นจะต้องทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของที่ดิน เว้นแต่เจ้าของที่ดิน จะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ แต่เจ้าของที่ดินจะต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างโรงเรือนแล้วแต่จะเลือก ก็สามารถจะอธิบายได้ว่า หากไปสร้างโรงเรือน เช่น ไปสร้างบ้านในที่ดินของคนอื่น โดยรู้อยู่แล้วไม่ใช่ที่ดินของเรา เมื่อเจ้าของที่ดินเขารู้ในภายหลังเจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ที่จะสั่งให้บุคคลที่ไปสร้างโรงเรือน รื้อถอนโรงเรือนที่ปลูกสร้างแล้วทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพดังเดิม แต่หากว่าเจ้าของที่ดินต้องการให้โรงเรือนที่สร้างอยู่ในสภาพเดิม เจ้าของที่ดินจะต้องชดใช้เงินในส่วนราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น เพราะการสร้างโรงเรือน ก็คือ เดิมราคาที่ดินหนึ่งล้านบาท เมื่อสร้างโรงเรือนในที่ดิน ที่ดินพร้อมโรงเรือนมีราคาหนึ่งล้านห้าแสนบาท เจ้าของที่ดินจะต้องใช้ราคาโรงเรือนนั้นในราคาห้าแสนบาท หากต้องการโรงเรือนให้คงอยู่ในที่ดิน สิทธิดังกล่าว แล้วแต่เจ้าของที่ดินจะเลือก ผู้ที่ไปสร้างโรงเรือนไม่มีสิทธิ์

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

******************************

8. บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดิน

บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดิน โดยปกติจะต้องเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 144 โดยสภาพของบ้านถือเป็นจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น และเป็นสาระสำคัญแห่งทรัพย์นั้น แต่ก็มีข้อยกเว้นตามมาตรา146 บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวหรือเจ้าของที่ดินอนุญาตให้ปลูกสร้างได้ ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น แต่ถ้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินของคนอื่นโดยเจ้าของไม่ยินยอม บ้านนั้นถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินและเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินนั้นได้และอาจจะถือว่าเป็นการบุกรุกที่ดินของคนอื่นอีกกรณีหนึ่งด้วยหมวดกฎหมายว่าด้วยทรัพย์และทรัพย์สิน

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************

9. ความหมายของคำว่าทรัพย์หรือทรัพย์สิน

เกิดเป็นมนุษย์ก็อยากมีทรัพย์หรือทรัพย์สินกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจคำว่าทรัพย์และทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 บัญญัติหลักว่า ทรัพย์ หมายถึง วัตถุที่มีรูปร่าง และมาตรา 138 ให้ความหมายว่า ทรัพย์สิน ก็คือ ทรัพย์ที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจเข้าถือเอาได้สรุปความหมายได้ว่า ทรัพย์สิน ก็คือ สิ่งที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างที่มนุษย์เข้ายึดถืออย่างเป็นเจ้าของซึ่งอาจมีราคาได้ เช่น ที่ดิน รถยนต์ ดินสอ ปากกา เป็นต้น สำหรับส่วนที่ไม่สามารถเข้ายึดถือได้ เช่น แสงแดด สายลม แม้จะมีคุณค่ามากมาย แต่ยังไม่ถือว่าเป็นทรัพย์หรือทรัพย์สินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งหากมนุษย์รู้จักดัดแปลงแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานแล้วจัดเก็บพลังงานไว้ใช้ถือว่าเข้าครอบครองตัวพลังงานนั้น ตัวพลังงานดังกล่าวก็เป็นทรัพย์สินที่มีราคาและถือว่ามีเจ้าของเช่นกัน

***************************

เรื่องใกล้ตัวบางครั้งเราก็มองข้าม เฉกเช่น ครุฑบนเอกสารบนที่ดินที่มีอยู่ติดบ้าน โดยมีทั้งครุฑสีแดงครุฑสีเขียว และครุฑสีดำ ซึ่งครุฑแต่ละสีสื่อความหมายต่างกันในทางกฎหมาย ดังนี้

1) ครุฑสีแดง หมายถึง โฉนดที่ดิน (น.ส.4) ซึ่งสามารถซื้อ - ขาย - โอนได้ตามกฎหมาย ยกเว้น โฉนดหลังแดง ซึ่งจะมีข้อความระบุด้านหลัง ว่า “ห้ามโอน” ภายใน 5 - 10ปี

2) ครุฑสีเขียว หมายถึง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งออกให้ในท้องที่ที่มีระวางภาพถ่ายทางอากาศ

3) ครุฑสีดำ หมายถึง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 และ น.ส.3 ข.) ซึ่งไม่มีระวางภาพถ่ายทางอากาศ

เมื่อทราบแล้ว รีบไปดูโฉนดของที่ดินบ้านท่านว่าเป็นครุฑสีอะไร เพราะแสดงออกว่าท่านมีสิทธิมากน้อยเพียงใดในผืนดินเหล่านั้น

***************************************

11. เจ้าหนี้เงินกู้ยึดโฉนดไว้ เอาคืนได้มั้ย

การทำสัญญากู้ยืมเงินที่มีการทำหนังสือสัญญาลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ให้ยืมและผู้ยืม ซึ่งหนังสือสัญญานี้จะเขียนใส่กระดาษธรรมดาก็ไม่มีปัญหาประการใด และหากเจ้าหนี้นำเอาที่ดินของลูกหนี้มาจดจำนอง ซึ่งถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดก็สามารถยึดที่ดินแทนการชำระหนี้ได้ แต่หากลูกหนี้นำเอาแต่โฉนดที่ดินมาให้เจ้าหนี้ยึดไว้เท่านั้น กรณีนี้หากเจ้าหนี้ทำเพียงหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน และรับโฉนดที่ดินไว้แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะมีผลเท่าเป็นการ “จำนำโฉนด” ซึ่งเป็นเพียงเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของลูกหนี้เท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการ “จำนอง” ซึ่งลูกหนี้อาจไปขอออกโฉนดใหม่ได้และโฉนดที่ดินไม่ได้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ ที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ ดังนั้น อย่าลืมนำโฉนดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิเช่นนั้นจะเป็นเพียง “จำนำโฉนด” นั่นเอง เพราะโฉนดที่ดิน คือ กระดาษ ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์อันจะจำนองได้

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 714 ที่บัญญัติให้การจำนองอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************

12. ซื้อที่ดิน สปก.

ที่ดิน สปก. เป็นที่ดินที่รัฐยกให้เกษตรกรเพื่อใช้เป็นที่ดินทำกิน ไม่สามารถซื้อขายได้ แต่เป็นมรดกตกทอดได้ แต่สภาพความเป็นจริงที่ดิน สปก. หลายๆ พื้นที่มีการแอบซื้อขายกัน ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 ระบุว่า ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จะ ทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม

หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงภายในเขตปฎิรูปที่ดิน และหากมีการซื้อ - ขายที่ดิน สปก. ถือเป็นการกระทำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ซึ่งจะทำให้การซื้อขายนั้นเป็นโมฆะ อีกทั้งมาตรา 411 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังกำหนดผลต่อไปว่า ผู้ซื้อไม่อาจเรียกเงินคืนได้จากการชำระหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

13. ขายฝากที่ดินอย่างไร (ผู้ขาย) ไม่เสียเปรียบ

กฎหมายขายฝากมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเมื่อปี 2562 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญา เพื่อไม่ให้เอาเปรียบซึ่งกันและกันครับ เหตุที่มีการแก้กฎหมายเพราะมีข้อพิพาทขึ้นสู้ศาลเยอะซึ่งศาลก็จะพิจารณาและพิพากษาตามตัวบทกฎหมาย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นปัญหาของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สส.ก็จะนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเข้าสู้สภาผู้แทน ผ่านกระบวนการต่างจนมีการแก้ไขเป็น พรบ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรหรือที่อยู่อาศัย พศ.2562 สรุปได้ใจความตามนี้

• สัญญาขายฝากต้องมีระยะเวลาไถ่ถอน 1-10 ปี

• ผู้ขายฝากสามารถใช้ประโยชน์หรืออยู่ได้ถึงวันสิ้นสุดการไถ่

• การขยายเวลาไถ่ถอนต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย

• หากผู้ซื้อฝากงอแงไม่ยอมให้ไถ่ถอน ให้ผู้ขายฝากเอาเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์หรือสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ

• ขยายเวลาไถ่ถอนอัตโนมัติ ถ้าผู้ซื้อฝากไม่ส่งหนังสือแจ้งเป็นไปรษณีย์ตอบรับถึงการไถ่ถอนก่อนวันสิ้นสุดการไถ่ถอนไม่น้อยกว่า 3 เดือน แต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน

• ไถ่ถอนหรือวางเงินแล้วให้ถือว่ากรรมสิทธิ์โอนกลับมาเป็นของผู้ขายฝากทันที ต้องไถ่ถอนภายในกำหนดระยะเวลาเท่านั้น

• ไถ่ถอนเกินเวลาแต่อยู่ภายใน 6 เดือน ให้ผู้ขายฝากรับรองว่าผู้ซื้อฝากมิได้ทำหนังสือแจ้งผู้ขายฝากเรื่องวันครบกำหนดมาจดทะเบียนไถ่ถอนด้วย

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

14. หมุดเขตเดินได้

“อสังหาริมทรัพย์" ตามความเข้าใจของหลายท่าน หมายถึง ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ซึ่งตามความหมายนั้นถูกต้องอย่างแน่แท้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ดินนั้น มักจะยืดได้ ขยายได้หรือเล็กลงได้ อันมาจากสาเหตุ “หมุดที่ดินเดินได้” จากบุคคลบางกลุ่มที่เคลื่อนย้าย ทำลาย หรือแม้กระทั่งถอนจนนำมาสู่การทะเลาะเบาะแว้งและคดีความต่างๆ ทั้งนี้

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 67 และมาตรา 109 ได้กำหนดข้อห้ามไม่ให้ผู้ใดนอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำลายดัดแปลง เคลื่อนย้าย ถอดถอนหลักหมายเขต หรือหมุดหลักฐานเพื่อการแผนที่นั้นไปจากที่เดิม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

***************************************

15. จำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้

ในกรณีที่มีการให้ยืมเงินเป็นจำนวนมากในระดับร้อยล้านหรือพันล้าน การจะนำทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น แหวน นาฬิกา คงมีมูลค่าไม่พอชำระหนี้ ทั้งนี้ ในการให้กู้ยืมเงินในจำนวนมากนั้น นอกจากจะต้องมีหนังสือสัญญากู้ยืมเงินแล้ว ยังต้องให้ลูกหนี้นำเอาอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินมาจำนองประกันหนี้ โดยต้องนำโฉนดไปจดทะเบียนจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อำเภอ หรือสำนักงานที่ดิน เมื่อมีที่ดินของลูกหนี้มาเป็นหลักประกันแล้ว เจ้าหนี้ก็สามารถเบาใจได้ว่าหนี้จะไม่สูญเปล่า การจำนองคือ หลักประกันหนี้ชั้นเยี่ยม ต่อให้ลูกหนี้ขายที่ดินที่จำนอง เจ้าหนี้ก็ตามไปบังคับยึดมาชำระหนี้ได้ และที่ดินคือทรัพย์สินที่มีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้น เหตุนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าหนี้ชั้นเยี่ยม มั่นคง ปลอดภัยที่สุด

ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 ที่บัญญัติไว้ว่า การจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานองและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 714 ที่บัญญัติให้การจำนองอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************